วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2563

#ความรู้_คู่แแอดมิน_รพ. #3 By พี่เชาวลิต ทอนสูงเนิน

 #ความรู้_คู่แแอดมิน_รพ.

" ถ้าฐานข้อมูล ที่ดูแลอยู่ มันโตเกิน Mysql จะรับไหว ต้องทำไงดีเอ่ย " คำถามนี้ ถามโดยพี่ไสว เจ้าหน้าที่ดูแลระบบโรงพยาบาลหนองบุญมาก จังหวัดนครราชสีมา... ถามเมื่อ 2561... เลยขอหยิบส่วนนี้ มาตอบ ซึ่งอาจจะรู้แล้วหรือยังไม่รู้ ก็ขอตอบในฐานะบริษัท...
" ฐานข้อมูลใหญ่เกิน Mysql จะรับไหว "
คำถามนี้ เป็นคำถามที่โรงพยาบาลใช้ โปรแกรม HosXP version 3 เป็นระบบ HIS ของโรงพยาบาล
คำถาม นี้ จะอยู่ในส่วน ของแหล่งเก็บข้อมูลและการประมวลผลข้อมูล
ต้องย้อนเรื่อง โปรแกรม Hosxp ทำงานในลักษณะ Client-Server หรือ 2Tier ซึ่งมีข้อจำกัดด้าน " เวลา" ในการตอบสนองผู้ใช้ข้อมูล
เมื่อมองคำถาม และมองรูปแบบการตอบสนองผู้ใช้ข้อมูล ซึ่งมีเวลาเป็นตัวกำหนด ...
1. ด้านการจัดเก็บข้อมูล ...
ตอบ : ข้อนี้ ไม่เกินปัญหาแน่นอน เพราะขนาดฐานข้อมูลที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ใหญ่สุดในระดับโรงพยาบาลประจำจังหวัด มีขนาดไม่เกิน 800 GB ( ฐานข้อมูลอย่างเดียว ไม่รวม Image Data ) ซึ่งขนาด Hardddisk สามารถเพิ่มได้มากมาย จนถึงระดับ Storage ... 12TB
2. ด้านการประมวลผล ...
ตอบ: ข้อนี้มีปัญหาแน่นอน เพราะเกี่ยวเนื่องด้วย " เวลา " ขออธิบายแยกย่อย เพื่อเข้าใจตามประสบการณ์ ดังนี้
2.1 ประสิทธิภาพเครื่องแม่ข่าย เชิงเดียว ( Stand alone Server ) ปัจจุบัน Server ICT Type 2 หรือ Type 1 สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ 2CPU และ RAM 768GB ซึ่ง สามารถรองรับ ขนาดฐานข้อมูล Mysql ได้สูงถึง 2.1TB
ดังนั้นการออกแบบ หรือเพิ่มประสิทธิภาพทางการประมวลผล ให้ดูที่เครื่องแม่ข่ายเป็นหลัก หรืออย่างน้อย ให้เพิ่ม RAM ทุกๆ 3-5 ปีต่อครั้ง ตามอัตราการโตของข้อมูล หรือ อัตราผู้ป่วยที่มา Visit ในแต่ละวัน ... สามารถเก็บสถิติได้อย่างแน่นอน .. และพยายามลบ Log ที่ไม่จำเป็นอย่างน้อย ปีละ 1 ครั้ง
2.2 ประสิทธิภาพ ในการประมวลผล ต้องปรับคุณลักษณะ ให้เพียงพอต่อขนาด record ณ ปัจจุบัน รวมถึงปรับขนาด Buffer ใน my.cnf ให้เหมาะสม ตามขนาดข้อมูล และประสิทธิภาพของเครื่องแม่ข่าย ( RAM )
2.3 ประสิทธิภาพ ในการส่งผ่านข้อมูล เมื่อมีข้อมูลในฐานข้อมูล ที่มากกว่า 120 GB ขึ้นไป ควรมีการปรับค่า Frame rate ให้มากตามไปด้วย โดยปกติ ค่า Frame Rate อยู่ที่ 1500 ฺ Byte ซึ่งปัจจุบัน จะมีค่าสูงตั้งแต่ 9,000-10,280 byte
2.4 การเพิ่มประสิทธิภาพเชิงระบบ หรือการทำ Replicate-Server แบบ Mater to Master การปรับปรุงระบบในลักษณะนี้ อาจจะเป็นเพราะข้อจำกัดทางด้าน Server เดิมอาจจะอายุหลายปี การเพิ่มหรือหาอะไหล่ ได้ยากในเรื่อง ของ CPU และ RAM ก็ทำการปรับเปลี่ยนจากการสำรองข้อมูลแบบ Real-time Replicate Server ( Master to Slave ) เป็น Master to Mater เพื่อคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพเดิม และให้ระบบสามารถรองรับการประมวลผล ได้เร็ว มากขึ้น โดยสามารถออกแบบแยกส่วน OPD ออกจาก ส่วน IPD + Back Office และอื่นๆได้ ... กรณีนี้ จะเหมาะสมกับโรงพยาบาลตั้งแต่ 60 เตียงขึ้นไป และ มีขนาดฐาน มากกว่า 150 GB

สรุปโดยรวม ... คำถามนี้ ยังไม่เกิดปัญหา ในทางระบบ ( Hospital System ) ยังสามารถใช้งานได้อยู่ จนกว่า จะเลิกใช้งาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น